ประวัติปฏิปทา หลวงปู่ศรี มหาวีโร
ประวัติปฏิปทา หลวงปู่ศรี มหาวีโร
หลวงปู่ศรี มหาวีโร นามเดิมของท่านชื่อ ศรี นามสกุล ปักกะสีนัง บิดาของท่านชื่อ อ่อนสี มารดาของท่านชื่อ นางทุมจ้อย หลวงปู่ศรี มหาวีโรท่านถือกำเนิดเมื่อ วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๐ ตรงกับวันศุกร์ แรม ๘ ค่ำ เดือนหก ปีมะเส็ง ณ บ้านขามป้อม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
อุปสมบท
ท่านได้เข้าอุปสมบทที่วัดราษฎร์รังสรรค์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๘ โดยมีพระโพธิญาณมุนี ( คำ โพธิญาโณ ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า มหาวีโร แปลว่า ผู้มีความหาญกล้า
พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เดินทางไปศึกษาธรรมอยู่กับพระอาจารย์คูณ ธัมมุตตโม ศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งในขณะนั้นพระอาจารย์คูณ ธัมมุตตโม ได้พำนักอยู่ที่ วัดประชาบำรุง อ.เมือง จ.มหาสารคาม อยู่ศึกษาธรรมกับท่านได้ระยะหนึ่งหลวงปู่ศรีก็เดินทางไปหาท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ศิษย์เอกของหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าแสนสำราญ จังหวัดอุบลราชธานี
ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก เป็นเสมือนองค์แทนของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ที่สำนักป่าแสนสำราญแห่งนี้มีครูบาอาจารย์กรรมฐาน แวะเวียนมาพักสนทนาธรรมกับพระอาจารย์สิงห์เสมอ เช่น พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล , พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ , พระอาจารย์หลุย จันทสาโร , พระอาจารย์ดูลย์ อตุโล , พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร , พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี เป็นต้น
เที่ยวกรรมฐานที่ถ้ำพระเวส
หลวงปู่ศรี มหาวีโรได้ออกธุดงค์ไปบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำพระเวส ในเขต อ.นาแก จ.นครพนม ที่ถ้ำพระเวสแห่งนี้ หากผู้ใดภูมิจิตภูมิธรรมไม่ถึงหรือถ้าใครทำอะไรไม่ดีภูมิเจ้าที่เขารู้หมด ชาวบ้านแถวนั้นเมื่อเห็นพระธุดงค์มาที่ถ้ำ ก็จะคอยดูว่าจะอยู่ได้สักกี่วัน พระที่มาอยู่ที่นี่ไม่เป็นอย่างหนึ่งก็เป็นอย่างหนึ่งปรากฏให้เห็น
เคยมีพระที่ขอนแก่นขึ้นไปอยู่ เอาแม่ชีแม่ขาวขึ้นไปด้วย พอตะวันบ่ายพากันไปอาบน้ำอาบท่า พอค่ำมาเท่านั้นภูเขาสะเทือนไปทั้งลูกเหมือนจะถล่มลงมาทับคน พากันอยู่ไม่ได้เตลิดหนีไปในคืนนั้นเอง
พอใกล้จะเข้าพรรษามีพระกลับคืนมาอีก ๖ – ๗ องค์ ปรากฏว่ามรณภาพ ๒ องค์ ภูมิเจ้าที่เขาอยากให้เป็นคนดี ถ้าเราทำดีเขาเคารพบูชา
พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน
ปี พ.ศ.๒๔๙๒ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน คือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงปัจฉิมวัย พำนักอยู่ที่สำนักป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่นก็เมตตารับไว้ ทำให้หลวงปู่ศรี มีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมร่วมกับสหธรรมิกร่วมสำนัก ร่วมครูอาจารย์เดียวกัน
ในยุคบ้านหนองผือนั้น หลวงปู่ศรี มหารีโร ท่านมีโอกาสได้รับใช้ปรนนิบัติใกล้ชิดท่านพระอาจารย์มั่น ร่วมกับศิษย์องค์อื่นๆ เช่น พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน , พระอาจารย์วัน อุตตโม , พระอาจารย์หล้า เขมปัตโต ซึ่งแต่ละองค์จะมีหน้าที่เฉพาะของตนจะก้าวก่ายของกันไม่ได้ เพราะท่านพระอาจารย์มั่นท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ ใครไปจับต้องอะไรแล้วไม่จัดไว้ดังเดิมไม่ได้ ถ้าใช้ให้คนอื่นไปทำแทนท่านจะรู้ทันที ฉะนั้นพระเณรที่เป็นลูกศิษย์ต่างเกรงกลัวท่านมาก ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนให้ดี
หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระที่มีความเด็ดขาดมาก ใครไม่เอาจริงอยู่กับท่านไม่ได้ ราวสองสามคืนมีการอบรมธรรมครั้งหนึ่ง การแสดงธรรมแต่ละครั้งก็ตั้งแต่สองชั่วโมงขึ้นไป ส่วนการปฏิบัตินั้น ถ้ามีพระที่กลัวผีหรือกลัวเสือไปอยู่ด้วย ท่านก็จะให้ไปอยู่ไกลหมู่ไกลคณะเป็นพิเศษ ถ้ำไหนมีเทวดาหรือภูตผีปีศาจ ท่านจะบอกให้ไปอยู่ถ้ำนั้น ถ้าองค์ไหนที่ไปอยู่แล้วไม่ถูกใจเจ้าของถ้ำเกิดเตลิดหนีกลางครัน องค์นั้นอย่ากลับมาให้ท่านเห็นอีก บางแห่งภูมิเขาแรงมากถึงขนาดนอนไม่ได้เลย
ป่วยเป็นไข้มาเลเรีย
ในปี พ.ศ.๒๔๙๔ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้ไปพักจำพรรษาที่บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ท่านได้ป่วยเป็นไข้มาเลเรียอย่างหนัก ถึงกับผมร่วง ท่านคิดว่าทำอย่างไรถึงจะหาย จึงได้ถามสามเณรเล่นๆว่า “ เณรน้อย อะไรที่มันกินแล้ว ผิดไข้มาเลเรีย ” เณรจึงตอบท่านว่า “ มะพร้าว ครับ ” เพียงคำพูดของสามเณรเพียงเท่านั้น ท่านจึงคิดในใจว่า “ ถ้าบิณฑบาตได้มะพร้าวจะฉันให้มันตายไปเลย เพราะมะพร้าวกับไข้มาเลเรียเป็นของแสลงกันที่สุด ”
ครั้นรุ่งเช้าออกไปบิณฑบาต มองไปที่ต้นมะพร้าว มะพร้าวอ่อนก็ขาดทะลายลงจากต้นเสียงดังตูม เมื่อท่านฉันมะพร้าวเข้าไปเท่านั้น ปรากฏว่าเกิดอาการหน้ามืดสั่นเทิ้มไปทั้งกาย ชักกระตุกล้มลงทันที สลบไปเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน
หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร ท่านเป็นหมอยาสมุนไพรแผนโบราณเห็นอาการของหลวงปู่ศรีน่าเป็นห่วง จึงใช้ช้อนงัดปากให้อ้าขึ้น แล้วกรอกยาลงไป ปรากฏว่าโรคนั้นหายขาดอย่างน่าอัศจรรย์
จากนั้นท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมทั้งวันทั้งคืน ตั้งสัจจะไว้ว่า ถ้านกแซงแซวยังไม่ร้องก็จะไม่ลุกออกจากอาสนะ และไม่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ห้ามมิให้เปลี่ยนโดยเด็ดขาด นั่งอยู่ท่าใดก็ให้นั่งท่านั้น
ปฏิบัติเข้มงวดเป็นเวลา ๒๒ คืน คือจากตะวันตกดินจนรุ่งอรุณของวันใหม่ นั่งไม่ลุก ๖ วัน ๖ คืน ส่วนอุบายธรรมต่างๆ ได้ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นผู้แนะนำสั่งสอน
ปลีกวิเวกที่เขาจอมทอง
ท่านพระอาจารย์ศรี มหาวีโร ได้ออกเดินธุดงค์ไปถึงเขาจอมทอง อยู่ในเขต อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ชาวบ้านแถวนั้นก็ออกมาเตือนไม่อยากให้ท่านขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น เพราะว่ามีพระขึ้นไปตายหลายรูปแล้ว ถึงไม่ตายก็กลายเป็นบ้ากลับลงมา
ที่เขาจอมทองนี้ท่านถามนายพรานว่า เขาลูกนี้มีน้ำหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่มี หลวงปู่บอกว่าน่าจะมีนะ ก็เลยพานายพรานขึ้นไป แล้วก็เห็นรอยหินแตก ท่านก็ให้นายพรานตัดไม้ไผ่ แล้วเจาะตรงปล้อง แล้วก็หย่อนลงไป พอเอาขึ้นมาท่านก็บอกนายพรานว่า นี่ไงน้ำ นายพรานเห็นเช่นนั้นก็ศรัทธาท่านเป็นยิ่งนัก
ในถ้ำบนเขานั้นมีเจ้าที่เป็นงูใหญ่ ทุกๆสามปีงูตัวนี้จะออกจากถ้ำทีหนึ่ง เสียงมันเหมือนเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เวลามันเล่นน้ำ มันจะเอาหางพันต้นไม้ไว้ แล้วเอาหัวหย่อนลงไปในน้ำ
หลวงปู่ศรีบอกว่า ตอนที่เขามาสร้างเขื่อน พญานาคมาเจาะเขื่อนไม่ยอมให้สร้าง หลวงปู่จึงพยายามมาสร้างวัดที่เขาจอมทองนี้ เพื่อมาโปรดพญานาค และให้ทางการสามารถสร้างเขื่อนได้
ได้รับฉายา “ หลวงปู่ศรี ผีย้าน ”
ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านได้เดินทางมาที่ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ถิ่นกำเนิดของท่าน ที่วาปีปทุม ที่แห่งนั้นมีผีดุ ผีเข็ดขวาง เขาสร้างหอผีผัวเมียให้คนไปกราบไหว้ ในบริเวณนั้นมีจอมปลวกใกล้ต้นมะขามใหญ่ บางทีผีมันเอาคนไปซ่อนไว้พากันหาทั่วบ้านทั่วเมืองก็ไม่เจอ ในเขตนั้นใครจะไปเอาไม้แห้งมาทำฟืนหุงต้มก็ไม่ได้ มะขามสุกที่หล่นจะเก็บมากินก็ไม่ได้ เป็นต้องโดนผีเข้าทันที
หลวงปู่ศรีจึงไปเดินหาดูว่าผีตัวนี้มันอยู่ที่ไหน ขณะที่เดินไปใกล้คลองน้ำ มันก็กระโดดเกาะทันที ท่านจึงกำหนดจิตเดินจงกรม เดินจงกรมก็ไม่ออก เริ่มหายใจไม่ค่อยออก จึงเข้าไปในกลดไปนั่งสมาธิแล้วผีมันก็กระเด็นออกไปเอง ตั้งแต่นั้นมาไม่มีผีสางนางไม้ในบริเวณนั้นไปรบกวนคนอีกเลย ชนทั้งหลายจึงขนานนามหลวงปู่ศรีว่า หลวงปู่ศรีผีย้าน ( ผีกลัว )
สร้างวัดป่าสามัคคีธรรม
ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้จาริกธุดงค์มาทาง บ้านขามเฒ่า จ.นครพนม เมื่อท่านมาพักอยู่ที่เสนาสนะป่าแห่งนี้ ผู้คนศรัทธาเลื่อมใสต่อท่านเป็นอย่างมาก แต่ยังมีคนและพระอีกพวกหนึ่งซึ่งเสียผลประโยชน์ เสื่อมลาภสักการะและคนนับถือ เมื่อเห็นพระกรรมฐานมาอยู่มีคนเคารพเลื่อมใสศรัทธา ก็อดที่จะอิจฉาตาร้อนไม่ได้ ได้แสดงอาการรังเกียจและกลั่นแกล้งพระอาจารย์ศรี ต่างๆนานา อย่างเช่น ไปแจ้งตำรวจหาว่าท่านเป็นคอมมิวนิสต์ ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาค้นภายในวัด แต่ก็ไม่เจออะไร บางวันไปบิณฑบาตก็เอากบตัวเป็นๆใส่ในบาตรของท่าน บางวันท่านไม่อยู่ในวัดก็พากันแบกจอบเสียมมาขุดเสากุฏิ ทำลายข้าวของภายในวัด บางวันก็มาด่าตะโกนขับไล่มิให้ท่านอยู่ แต่สุดท้ายพวกที่ทำนั้นเสียชีวิตทั้งหมด บางคนเมาเหล้าตกตลิ่งตายก็มี บางคนขับมอเตอร์ไซด์ตกน้ำตายก็มี บางคนขับรถสามล้อตกน้ำตายก็มี
เมื่อชนทั้งหลายเห็นผู้ที่ประทุษร้ายต่อหลวงปู่ศรี คนแล้วคนเล่าถึงความหายนะฉิบหาย ความร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์และศรัทธาเลื่อมใสก็เข้ามาแทนที่
หลวงปู่ศรีได้ปราบคนที่เป็นมิจฉาทิฐิ ให้หันเข้ามานอบน้อมต่อพระรัตนตรัยเป็นจำนวนมาก ท่านจึงสร้างศาลาใหญ่สำหรับปฏิบัติธรรม และให้นามว่าวัดป่าสามัคคีธรรม เมื่อท่านสร้างวัดเป็นหลักเป็นฐานมั่นคงแล้ว ท่านก็ได้นิมนต์ครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพเลื่อมใสมาเหยียบวัดให้เป็นสิริมงคล และให้ชาวบ้านได้รู้จักพระกรรมฐานที่ทรงคุณธรรม
จิตบริสุทธิ์หลุดพ้น
ออกพรรษาปี ๒๕๐๖ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้ปลีกวิเวกเพื่อห่างไกลผู้คนและญาติโยม เนื่องจากได้สร้างวัดมาหลายวัดแล้ว จนท่านรู้สึกว่าจิตเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ท่านได้นั่งคิดอยู่เพียงลำพังว่า “ ถ้าหากท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงช่วยแก้ปัญหาอันหนักอกอันนี้ให้ได้เป็นแน่ แล้วใครหนอพอจะช่วยเราได้บ้าง ” ท่านก็นึกถึงหลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี ท่านจึงตัดสินใจเที่ยววิเวกภาวนาผ่านป่าเขาและพักตามถ้ำ โดยจุดหมายอยู่ที่วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
เมื่อไปถึงหลวงปู่ศรี จึงเข้าไปกราบหลวงปู่บัวด้วยความเคารพ แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่จิตของท่านเสื่อมให้หลวงปู่บัวฟัง หลวงปู่บัว ก็ได้ช่วยแนะอุบายวิธีปฏิบัติให้แก่ท่าน
เมื่อได้รับฟังโอวาทจากหลวงปู่บัวแล้ว ท่านจึงตั้งสัจจะว่า “ ถ้าจิตยังไม่บรรลุธรรมที่พึงประสงค์จะไม่ยอมลุกไปจากที่ เราจะยอมตายถวายชีวิตด้วยสัจจะบารมี ” แล้วท่านก็นั่งสมาธิอยู่นานถึง ๕ วัน ๖ คืน ไม่ยอมลุกจากที่นั่ง
ในที่สุดก็ตัดสินกันลงได้ อวิชชาแตกดับ เกิดญาณหยั่งทราบแน่ชัดว่า จิตหมดการก่อกำเนิดในภพต่างๆอย่างประจักษ์ใจ โลกธาตุหวั่นไหว เหลือแต่จิตดวงบริสุทธิ์ล้วนๆ
หายตัวได้เป็นที่อัศจรรย์
พระอาจารย์เสน ปัญญาธโร เจ้าอาวาสวัดป่าหนองแซงองค์ปัจจุบัน ได้เล่าถึงหลวงปู่ศรี มหาวีโร ด้วยความอัศจรรย์ว่า
“ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๐๗ มีพระอยู่ที่วัดป่าหนองแซงประมาณ ๗ รูป มีหลวงปู่บัว สิริปุณโณ เป็นหัวหน้า
สมัยที่ผมอยู่วัดหนองแซง หลวงปู่ศรีท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ เฒ่าแก่ฮกมากับลูกน้อง ๓๐ คน เดินมาหาท่านที่กุฏิ หลวงปู่ศรีท่านก็เดินจงกรมอยู่ตรงนั้น ผมก็อยู่ตรงนั้น เฒ่าแก่ฮกกับลูกน้องก็อยู่ตรงนั้น
หลวงปู่ก็พูดกับผมว่า “ ถ้าเฒ่าแก่ฮกมีธุระจำเป็น เราจึงจะคุยด้วย แต่ถ้าเขาไม่มีธุระอะไรก็ให้เขากลับไปซะ ”
ผมก็เลยหันไปถามเฒ่าแก่ฮกว่า “ มาหาหลวงปู่ทำไม มีธุระอะไรหรือเปล่า ”
เฒ่าแก่ฮกตอบว่า “ ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมาเยี่ยมท่านเฉยๆ ”
ผมก็เลยบอกไปตามที่ท่านสั่งว่า “ หลวงปู่ไม่ให้พบนะ ”
เฒ่าแก่ฮกก็บอกว่า “ ถ้าท่านไม่ให้พบก็กลับกันเถอะเรา เสียดายนะมาวันนี้ไม่ได้เห็นท่าน ”
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเดินมา ๓๐ คน ไม่มีใครมองเห็นหลวงปู่ศรีเลย ตอนที่เขามาท่านก็ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ส่วนผมก็เห็นท่านปกติ แล้วก็คุยกันกับท่านด้วย คน ๓๐ คนมองไม่เห็น และก็ไม่ได้ยินอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย ส่วนผมมองเห็น และก็ได้ยินเสียงท่านปกติ ทุกวันนี้ผมยังอัศจรรย์ใจไม่หายเลย ”
โปรดผีเปรต
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ศรี เคยมาพำนักที่ถ้ำพระ ในเขต จ.ขอนแก่น ชาวบ้านทั้งหลายต่างดีใจและวิงวอน ขอให้ท่านช่วยเมตตาปราบผีเปรตตัวดุร้าย ที่มัก ไปหลอกหลอนและรบกวนชาวบ้านอยู่เสมอ ห้อยโหนบนต้นไม้ ให้ชาวบ้านเห็นบ้าง จนให้ชาวบ้านกลัวไม่เป็นอันทำมาหากิน ในเย็นวันนั้นเอง ท่านนั่งพิจารณาธรรม บริเวณลานหินใต้ต้นจำปา พิจารณาผีเปรตตัวนั้นว่า พอจะแผ่เมตตาช่วยได้ไหม อีกไม่นานก็มีเสียงลมพัดค่อยๆใกล้เข้ามา ต้นไม้แถบนั้นเสียงดังครืน ๆ ในที่สุดเปรตนั้นก็แสดงตัวปรากฏในสมาธิของท่านอย่างประจักษ์ ท่านได้ถามว่า “ เจ้าชื่ออะไร ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรตเสวยทุกขเวทนา อันร้ายกาจปานนี้ เพราะกรรมอันใด ”
เปรตนั้นตอบว่า “ ข้าพเจ้าชื่อ พรหม เป็นนามตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุที่เท้าข้างหนึ่งของข้าพเจ้าถูกไม้ทับจึงเป ( แบน ) คนทั้งหลายจึงเรียกข้าพเจ้าว่า บักพรหมตีนเป ( เท้าแบน ) เหตุที่ข้าพเจ้าต้องมาเกิดเป็นเปรตนั้นเพราะว่า ข้าพเจ้าและพวกประมาณ ๑๐ คน มาขโมยพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อันเป็นพระประธานในถ้ำ พวกข้าพเจ้าพยายามช่วยกันยกพระพุทธรูป แต่พระพุทธรูปหาขยับเขยื้อนไม่ จึงพากันนำธูปเทียนมาสักการะขอขมาเสียก่อน แล้วพระพุทธรูปนั้นก็สามายกเคลื่อนย้ายได้ จากนั้นพวกเราก็แสดงสันดานบาปหยาบช้าออกมา โดยทำลายพระพุทธรูปด้วยมีดขวานและเลื่อย หวังจะนำทองจากองค์พระขาย แต่พระพุทธรูปนั้นหาบุบสลายไม่
พวกเราหมดปัญญาที่จะเอาทองจึงได้อธิษฐานว่า “ ขอให้ข้าพเจ้าตัดเศียรพระและส่วนต่างๆของพระได้สำเร็จเถิด พวกข้าพเจ้าจะขอเกิดเป็นมนุษย์เพียงชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ” ในที่สุดก็สามารถทำลายพระพุทธรูปได้ตามใจหวัง นำทองไปขายมาแบ่งกัน ต่อมาถูกทางการจับได้ และเมื่อสิ้นชีพแล้ว ก็ไปเกิดในอบายภูมิเป็นเปรตเฝ้าถ้ำแห่งนี้
หลวงปู่ศรีท่านจึงได้เทศนาสั่งสอนเปรตตนนี้ หลังจากที่ท่านโปรดเปรตตนนี้แล้ว ชาวบ้านก็อยู่กันอย่างสงบสุข หายหวาดกลัวไปบ้าง บางคนอัศจรรย์ในคุณธรรมของท่านที่ปราบผีเปรตให้หายพยศได้ สมกับสมญานามของท่านที่ว่า “ หลวงปู่ศรี ผีย้าน ”
วัดประชาคมวนาราม ( ป่ากุง )
ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ หลวงปู่ศรีได้ย้อนกลับมาทาง จ.ร้อยเอ็ด การกลับมาของท่านคราวนี้ ท่านได้ครองวิมุติสุข เหล่าเทวดาอารักษ์มาแสดงความยินดีอนุโมทนา ในธรรมวิเศษและต้อนรับท่านอย่างดาษดื่น
เหล่าทายกทายิกาต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะบูรณะปรับปรุงวัดป่ากุง ซึ่งเป็นวัดร้าง ให้เป็นวัดวาอารามมั่นคงถาวรสืบไป จึงได้ดำเนินการขออนุญาตจากทางราชการตั้งขึ้นเป็นวัด โดยให้ชื่อตามความหมายที่ประชาชนร่วมกันสร้างว่า “ วัดประชาคมวนาราม ” โดยมีหลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นเจ้าอาวาสปกครองและบูรณปฏิสังขรณ์ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดมา
ภูมิเจ้าที่วัดป่ากุง
หลวงปู่ศรี เล่าถึงภูมิเจ้าที่วัดป่ากุง ตนหนึ่งหลวงปู่เรียกว่า “ อีสิ้นเหี่ยน” แปลงร่างได้สองแบบคือ เป็นงูใหญ่หางด้วนตัวเท่าลำตาลและเป็นผู้หญิงแต่งชุดเปลือกไม้ อีกตนหนึ่งเรียกว่า “บักดำใหญ่หรือบักคอลาย” หลวงปู่ท่านทรมานเอา สมัยที่ท่านพักอยู่วัดหนองใต้ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม จนยอมอยู่รับใช้ติดตามมาอยู่วัดป่ากุงกับหลวงปู่ ใครไปจับต้องลักเล็กขโมยน้อยในวัดโดยไม่บอกกล่าว ต้องมีอันเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นไปต่างๆ
เคยมีพวกโจร ๔ คน เอากระสอบเข้ามาขโมยกล้วยภายในวัด หามกระสอบกล้วยเดินวกไปวนมาอยู่ในบริเวณวัด หาทางออกจากวัดไม่ได้จนกระทั่งสว่าง พากันไปนั่งหมดแรงอยู่ใต้ร่มไม้ภายในวัด
พอตอนเช้าได้เวลาออกบิณฑบาต หลวงปู่จึงบอกพระเณรว่า “ ไปเรียกพวกขโมยบ้าหามกระสอบกล้วยเดินรอบวัดทั้งคืนมานี่ซิ ” เมื่อตามพวกขโมยนั้นมาแล้วท่านก็ถามว่า “เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม ถ้าอยากกินทำไมไม่ขอ คราวหลังก็ขอสิ เอ้า เอาไปกิน”
เมื่อท่านอนุญาตเขาก็กราบท่าน แล้วกราบเรียนท่านด้วยความตื่นกลัวว่า “เข็ดแล้วครับท่านอาจารย์ เข็ดไปจนวันตาย วัดนี้ผีเยอะเหลือเกิน พวกผมจะเดินไปทางไหนก็มีผีขัดขวาง ไม่เจอผีก็เจอป่าทึบ เดี๋ยวก็เจอเสือ เดี๋ยวเจองูใหญ่ หาทางมุดออกไม่ได้ วิ่งหนีตายกันแทบทั้งคืน แทบเอาชีวิตไม่รอด เสื้อผ้าขาดวิ่นไปหมด”
อำนาจธรรมหลวงปู่ศรี
ประเพณีทางภาคอีสาน เมื่อเวลามีงานเทศกาลสำคัญมักดื่มของมึนเมาเข้ามาในวัด ในเรื่องนี้หลวงปู่จะห้ามเป็นพิเศษ ท่านบอกว่าวัดผาน้ำทิพย์นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ( วัดสาขาของวัดป่ากุง ) ไม่ควรดื่มเหล้าเมายาเข้ามาในวัด มีชายคนหนึ่งไม่เชื่อฟังดื่มเหล้าเข้ามา แล้วก็พูดจาท้าทายหลวงปู่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏว่าวันนั้นอากาศแห้งแล้งแดดร้อนเปรี้ยงๆ ไม่มีเค้าเมฆฝนเลย ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมากลางกระหม่อมของเขา ล้มตายลงไปต่อหน้าคนทั้งหลาย ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าดื่มเหล้าเข้าไปในบริเวณวัดผาน้ำย้อย ( ผาน้ำทิพย์ ) นั้นอีกเลย
ครั้งหนึ่งท่านได้พาคณะศิษย์ปลูกต้นไม้บนผาน้ำย้อย อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด วันนั้นอากาศร้อน ไม่นานสายฝนก็โปรยลงมา ในเย็นวันนั้นหลวงปู่ศรีท่านได้สั่งกำชับทุกคนว่า ให้ภาวนา อย่าพากันนอน
พระรูปหนึ่งเห็นท่านสั่งกำชับเชิงเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าวันก่อนๆ เกิดลางสังหรณ์ว่าจะเกิดอันตราย จึงกราบเรียนท่าน ขอให้ท่านเรียกตำรวจมาอารักษ์ขาด้วย เพราะว่าเรามาปลูกป่าขัดผลประโยชน์กับพวกทำลายป่า และคนพวกนี้เดิมก็เป็นคอมมิวนิสต์ มีจิตใจโหดร้าย และมีอาวุธสงคราม
ท่านก็ตอบว่า “ฮื้อ มันไม่เป็นอะไรหรอก” แล้วท่านก็เดินทางกลับวัดป่ากุง คืนนั้นเวลาสามทุ่มก็เกิดระเบิดขึ้น เสียงระเบิดดังลั่นสนั่นไปทั่วทั้งผืนป่า จอบเสียม เครื่องมือเครื่องใช้ต้นไม้ หลังคาที่พักปรุพรุนไปหมด แต่ไม่มีใครเป็นอะไรเลย เหมือนที่ท่านบอกไว้ไม่มีผิด “ไม่เป็นอะไรหรอก”
กู้ระเบิด ๕๐๐ กว่าลูก
สมัยที่หลวงปู่ศรี มหาวีโร ไปดำเนินการก่อสร้างวัดสาขา คือ วัดโต๊ะโมะ ที่ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ท่านต้องผจญกับผู้ไม่ประสงค์ให้สร้างวัดไทยในแถบถิ่นนั้น จนเป็นเหตุให้ต้องกู้ลูกระเบิดอย่างมากมาย
หลังจากที่หลวงปู่ไปถึงบริเวณที่จะสร้างวัด ก็ได้ออกตรวจดูพื้นที่บริเวณดังกล่าว ท่านก็ล่วงรู้ด้วยอำนาจจิตว่า ภายใต้พื้นดินนั้นมีวัตถุอันตรายฝังซ่อนอยู่ ถ้าแม้ผู้ใดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปเหยียบหรือขุดคุ้ยถูกวัตถุนั้นเข้าก็จะถึงอันตรายแก่ชีวิตได้ ท่านจึงได้ให้เจ้าหน้าที่มากู้ลูกระเบิดออกไปจากพื้นที่ได้เป็นจำนวนมาก
หลังจากเคลียพื้นที่ในวาระแรกเสร็จลง หลวงปู่ก็ได้กลับมายังที่พัก ขณะที่กำลังปรึกษาเพื่อทำการต่อไป หลวงปู่ศรีสามารถกำหนดรู้เหตุการณ์ทางบริเวณที่สร้างวัดว่ามีผู้นำลูกระเบิดมาวางใหม่อีกหลายแห่ง พอรุ่งเช้าท่านก็ให้เจ้าหน้าที่เข้าเคลียพื้นที่อีก ก็ได้ลูกระเบิดแบบแสวงเครื่องอีกจำนวนมาก แต่ความพยายามของมือวางระเบิดก็หยุดลงหลังจากมาวางในครั้งที่สาม เพราะเขาเห็นว่าขืนวางอีกก็ขาดทุนเปล่า รวมสามครั้งสามารถเก็บกู้ระเบิดได้ ๕๐๐ กว่าลูก โดยลูกระเบิดไม่ระเบิดเลยสักลูกเดียว ทำให้ผู้คนทั้งหลายอัศจรรย์ใจในคุณธรรมและบุญบารมีของหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง
สร้างพระมหาเจดีย์ชัยมงคล
พระมหาเจดีย์ชัยมงคล เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ มีความสูงถึง ๑๐๙ เมตร ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขา ณ วัดผาน้ำย้อย อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด พระมหาเจดีย์แห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และของพระอรหันตสาวก รวมถึง อัฐิธาตุของพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รูปแบบขององค์พระเจดีย์ ถูกออกแบบอย่างวิจิตรงดงาม ผสมศิลปะร่วมสมัยระหว่างพระธาตุพนม และ พระปฐมเจดีย์ ผสมกลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน งบประมาณในการสร้างกว่า ๓,๐๐๐ ล้านบาท ความยิ่งใหญ่อลังการนั้น ไม่สามารถที่จะบอกแทนกันได้ ขอให้ทุกท่าน เดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเองจะดีกว่าคำบอกเล่า พระมหาเจดีย์ชัยมงคลนี้ สำเร็จลงได้ด้วยบารมีธรรมของพระเทพวิสุทธิมงคล หรือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ผู้ได้รับยกย่องว่า เป็นผู้มากล้นด้วยบุญบารมี เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา เป็นสมณะผู้มุ่งสู่มรรคผลนิพพาน อุดมด้วยธรรมทานอย่างสิ้นสงสัย
อานิสงค์สร้างศาลา
หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน จ.ยโสธร ได้เล่าให้สานุศิษย์ของท่านฟังว่า ท่าน(หมายถึงหลวงปู่สรวง)ได้อดอาหารทำความเพียรอยู่ถึง ๒๘ วัน ในวันที่ ๒๘ ท่านได้มรณภาพไปเป็นเวลา ๓ ชั่วโมง ปรากฏว่าตัวท่านเองขึ้นไปโผล่อยู่บนสวรรค์ มองลงมาข้างล่างก็เห็นนรกขุมต่างๆ เหล่าสัตว์นรกกำลังเสวยวิบากกรรมที่ตนกระทำมา ท่านเล่าต่อว่าบนสวรรค์นั้นเหล่าเทวบุตรเทวดามีแต่คนสวยๆงามๆ ยิ่งขึ้นสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นไปเท่าไรเทวดายิ่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้น เมื่อขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นหนึ่งท่านก็เห็นวิมานหลังหนึ่งใหญ่โตมาก เป็นวิมานที่สร้างด้วยทองคำ ประดับประดาด้วยแก้วและเพชรนิลจินดาต่างๆเต็มไปหมด หลวงปู่สรวงจึงถามเทวดาว่าวิมานใหญ่โตนี้เป็นของใคร เทวดาจึงชี้มือลงมาให้ท่านดูที่โลกมนุษย์ ปรากฏว่าบริเวณนั้นคือบ้านขามเฒ่า จ.นครพนม ก็เห็นชายผู้หนึ่งชื่อพรหมา รังษี เป็นกำนันตำบลนั้น เทวดาบอกว่าวิมานนี้เป็นของนายพรหมา รังษี ท่านจึงถามเทวดาต่อว่าเหตุใดนายพรหมา จึงได้วิมานใหญ่โตนี้ ก็ได้ความว่า
สมัยที่หลวงปู่ศรี มหาวีโร ออกธุดงค์อยู่แถวบ้านขามเฒ่า ในเขต จ.นครพนม ได้มีประชาชาเลื่อมใสศรัทธาท่านเป็นจำนวนมาก กำนันพรหมา รังษี พร้อมด้วยชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างศาลาปฏิบัติธรรมถวายท่าน ด้วยอานิสงค์ที่สร้างศาลาถวายหลวงปู่ศรี มหาวีโร ซึ่งเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้ทำให้กำนันพรหมา รังษี ได้วิมานใหญ่โตหลังนี้บนสวรรค์
หลวงปู่มรณะภาพ
หลวงปู่ศรี มหาวีโร ศิษย์รุ่นสุดท้ายของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ วัดประชาคมวนาราม ( ป่ากุง ) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด สิริรวมอายุ ๙๕ ปี พรรษา ๖๕
เรียบเรียงโดย นายอภิภัสร์ ปาสานะเก (โจ้)
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น